Three lions
I think it's bad news for the English game)
(we're not creative enough)
(we're not positive enough)
It's coming home, it's coming home, it's coming,
footballs coming home (we'll go on getting bad)
It's coming home, it's coming home, it's coming,
footballs coming home
It's coming home, it's coming home, it's coming,
footballs coming home
It's coming home, it's coming home, it's coming,
footballs coming home
Everyone seems to know the score, they've seen it all before
they just know, they're so sure
that England's gonna, throw it away, gonna blow it away
but i know they can play,
'cus i remember

three lions on a shirt
Jules Remet still gleaming
thirty years of hurt
never stopped me dreaming

so many jokes, so many snears
but all those 'oh so near's
when your down, through the years
but i still see that tackle by Moore
and when Linaker scored, Bobby belting the ball
and nobby dancing

three lions on a shirt
Jules Remet still gleaming
thirty years of hurt
never stopped me dreaming

(England have done it, in the last minute of extra time)
(what a save, what now)
(good old England, England that couldn't play football)
(England have got it in the bag)

I know that was then, but it could be again
It's coming home, it's coming home, it's coming,
footballs coming home
It's coming home, it's coming home, it's coming,
footballs coming home
(England have done it)
It's coming home, it's coming home, it's coming,
footballs coming home
It's coming home, it's coming home, it's coming,
footballs coming home *REPEATED IN BACKGROUND*

three lions on a shirt
Jules Remet still gleaming
thirty years of hurt
never stopped me dreaming

three lions on a shirt
Jules Remet still gleaming
thirty years of hurt
never stopped me dreaming

three lions on a shirt
Jules Remet still gleaming
thirty years of hurt
never stopped me dreaming
ENGLAND FAN CLUB

พระราชวังบั๊คกิ้งแฮม (Buckingham Palace) เป็นที่ประทับของสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2 และพระสวามี แต่เริ่มเดิมทีนั้นพระราชวังนี้เป็นของดยุคแห่งบักกิ้งแฮม ทรงสร้างขึ้นเมื่อ ค.ศ1703-1705 และหลังจากนั้นก็ได้รับบูรณะปรับปรุงให้กลายมาเป็นพระราชวัง และได้เข้ามาปฎิบัติทรงงานในพระราชวังในปี ค.ศ.1837


สำหรับในช่วงของซัมเมอร์หรือช่วงสิงหาคมถึงกันยายน จะมีการเปิดให้เข้าชมในส่วนของบริเวณท้องพระโรง ห้องจัดพระราชทานเลี้ยง ห้องทรงดนตรี ห้องขาว ห้องเขียว และห้องน้ำเงินให้เราได้ชมความงามเหล่านั้นอีกด้วย ซึ่งก็ไม่ได้มีโอกาสเข้าไปชมในส่วนของข้างใน เนื่องจากในตอนนั้นคนเยอะมาก จึงไม่อยากเบียดเสียดคนเข้าไป

ซึ่งนอกเหนือจากนั้นยังมีพิธีเปลี่ยนเวรยามของทหารรักษาพระองค์ที่หน้าพระราชวัง ตอนนั้นมีโอกาสได้ดูอยู่ด้วย และรู้สึกประทับใจเป็นอย่างมาก ทุกย่างก้าวของทหารนั้นมันพร้อมเพียงกันเหลือเกิน ทั้งความสง่าผ่าเผย ชุดทหารแต่งสีแดงสด หมวกฟู่สีดำที่ตัดกันเป็นอย่างดี ได้มีโอกาสถ่ายรูปคู่กับทหารเวรด้วย เขายืนนิ่งอย่างกับรูปปั้น ไม่มียิ้มไม่มีอะไรทั้งสิ้น แต่ละคนสูงใหญ่และกำยำเป็นอย่างมาก ถ้าใครมีโอกาสได้ผ่านไปที่พระราชวังบั๊คกิ้งแฮมก็ควรแวะเข้าไปชมสักครั้งนึง โดยพิธีจะเริ่มที่เวลา 11.30 น.ของทุกวัน แต่ช่วงฤดูร้อนมีพิธีวันเว้นวันสลับกันไป

ภาพทหารในชุดสีแดงสดที่เท่ห์มากๆ

ภาพทหารม้าผลัดเวร

ภาพการเปลี่ยนเวรของทหารในพระราชวัง
(ขอบคุณรูปจากอินเตอร์เน็ต)

ถ้าจะพูดถึงแค่พระราชวังบั๊คกิ้งแฮมอย่างเดียวก็ดูธรรมดาไปและไม่ค่อยจะโยงเข้ามาที่วงการฟุตบอลเท่าไหร่ แต่ถ้าพูดถึง "Beckingham Palace" เบ็คกิ้งแฮม พาเลซล่ะ คงมีหลายคนสงสัยว่ามันคืออะไร ก็ไม่ต้องคิดอะไรมากหรอก มันเป็นคฤหาสน์หลังงามของเดวิด เบคแคมอดีตกัปตันทีมชาติอังกฤษนั่นเองแหละ

ก่อนมาทำความรู้จักกับ "Beckingham Palace" ลองมาดูทรัพย์สินส่วนตัวคร่าวๆ (ย้ำว่าคร่าว) ของเดวิด เบคแคมกันก่อน โดยเป็นการเปิดเผยของหนังสือพิมพ์เดอะซัน แทบลอยด์ชื่อดังของอังกฤษได้ทำการขุดชำแหละออกมาเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2010

โดยถ้านับเฉพาะค่าจ้างจากสโมสรแอลเอ แกเล็คซี่ตลอดระยะเวลา 5 ปีล่าสุด เมื่อรวมแล้วจะมีมูลค่าถึง 168.5 ล้านปอนด์ (ประมาณ 9,267 ล้านบาท) มูลค่าทรัพย์สินทั้งหมด 125 ล้านปอนด์ (ประมาณ 6,875 ล้านบาท) สะสมรถยนต์หรูมากมาย อาทิ คาดิแล็ค เอสคาเลด, พอร์ช 911 คาร์บิเนต และในส่วนของที่พักอาศัยก็ได้แก่ คฤหาสน์หรูเบ็คกิงแฮม พาเลซ ที่เราจะพูดถึงนั่นเองซึ่งมีมูลค่า 2.5 ล้านปอนด์ (ประมาณ 137 ล้านบาท) คอนโดมิเนียมติดริมชายหาดที่นครดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์มูลค่า 8 ล้านปอนด์ (ประมาณ 440 ล้านบาท) รวมทั้งคฤหาสน์มูลค่า 15 ล้านปอนด์ (ประมาณ 825 ล้านบาท) ที่นครลอสแองเจิลลิส ประเทศสหรัฐอเมริกาอีกด้วย

ภาพมุมสูงรอบๆคฤหาสน์

เข้าเรื่อง "Beckingham Palace" กันต่อ "เบ็คกิ้งแฮม พาเลซ" เป็นชื่อเล่นของคฤหาสน์สุดหรูของเบคแคมซึ่งเป็นการเลียนแบบชื่อของ"พระราชวังบัคกิ้งแฮม" โดยนำมาตั้งให้คล้องจองกับนามสกุลของเขาเอง "Beck(ing)ham" คฤหาสน์หลังนี้ตั้งอยู่ที่ Sawbridgeworth , Hertfordshire โดยเบคแคมซื้อต่อมาในราคา 2.5 ล้านปอนด์เมื่อเดือนตุลาคม ปี 1999 หลังจากที่เขาได้แต่งงานกับ "วิคตรอเรีย อดัมส์" อดีตสมาชิกวง"สไปซ์เกิร์ล"ซึ่งโด่งดังสุดๆในยุคนั้น โดยมีผู้ดูแลรักษาความปลอดภัยในบริเวณพื้นที่รอบบ้านอย่างเข้มงวด โดยเมื่อตบแต่งเสร็จเรียบร้อยแล้วมีมูลค่าสูงถึง 7 ล้านปอนด์เลยทีเดียว

เมื่อวิคตรอเรียกำลังตั้งครรภ์ลูกคนที่ 3 เขาและเบคแคมตกลงใจจะสร้างห้องนอนสุดพิเศษเพื่อเป็นการรับขวัญให้ลูกของเขา โดยสร้างสระว่ายน้ำ 2 ชั้นที่ถูกทำขึ้นอย่างพิเศษในห้องนอนและการต่อเติมอย่างพิเศษ โดยมีมูลค่าสูงถึง 100,000 ปอนด์ หลังจากนั้นเขาได้ประกาศว่าเขาได้ซื้อบ้านอีกหลังในกรุงมาดริด ประเทศสเปน ซึ่งเป็นประเทศที่เขาย้ายไปค้าแข้งกับทีมรีล มาดริดต่อจากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สโมสรที่เขารักที่สุดนั่นเอง

โดยเพื่อนๆเขาต่างกล่าวว่า "เบ็คกิ้งแฮม พาเลซ" ยังเป็นคฤหาสน์ที่ทั้งคู่รักมากๆ เพราะมันเป็นเหมือนตัวแทนความรักของทั้งคู่

ในพื้นที่ขนาด 24 เอเคอร์ ประกอบไปด้วยห้องนอน 7 ห้อง พร้อมด้วยสระว่ายน้ำในร่ม , ห้องอาบน้ำที่ตบแต่งด้วยนักแสดงหญิงที่วิคตรอเรียคลั่งไคล้ "Audrey Hepburn" , ห้องสนุกเกอร์ , ห้องออกกำลังกายและสนามเทนนิส

ยังไม่จบเดี๋ยวมีต่อ ตอนนี้ได้เวลาออกไปเล่นบอลแล้ว

เพลง "Three lions" ถูกนำมาเผยแพร่ในปีค.ศ.1996 ซึ่งเป็นปีที่อังกฤษรับหน้าที่เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน ใช้เป็นเพลงสรรเสริญให้กับหล่าบรรดานักเตะแข้งทองที่รับใช้ทีมชาติอังกฤษในฟุตบอลโยรู 96 นั่นเอง เพลงนี้ถูกแต่งขึ้นโดย "Ian Broudie" สมาชิกวง "The Lightning seeds" ซึ่งเป็นวงดนตรีแนวอัลเทอร์เนทีฟร็อคและป๊อบจากเมืองลิเวอร์พูล ซึ่งสาวกแนวดนตรี "บริทป๊อป" น่าจะรู้จักกันดี ร่วมด้วยนักแสดงตลกชื่อดังของอังกฤษ "David Baddial" และ "Frank Skinner" รับหน้าที่ในการทำดนตรี

เพลงนี้ถือว่าได้รับความสนใจมากกว่าเพลงเชียร์ฟุตบอลอื่นๆ จนได้รับการเลือกให้เป็นสัญลักษณ์เพลงสดุดีให้กับนักเตะทีมชาติอังกฤษเลยทีเดียว ซึ่งเนื้อเพลง"ทรีไลออนส์"จะไม่เหมือนเพลงเชียร์เพลงอื่นๆทั่วไป

เมื่อพูดถึงเนื้อเรื่องในเอ็มวีเพลงนี้ ที่มีแฟนบอลของทีมชาติอังกฤษและทีมชาติเยอรมันแบ่งทีมเล่นกันข้างถนนแล้ว ก็อดนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วง "Christmas Truce" เมื่อค.ศ.1914 ไม่ได้ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ทหารอังกฤษและทหารเยอรมันแบ่งข้างเล่นฟุตบอล ดังที่เคยเขียนในตอนหนึ่งไปแล้ว http://englandfanclub.blogspot.com/2010/03/chrismas-truce.html ลองมาดูเนื้อเพลงและดู MV เพลง "ทรีไลอ้อนส์" กันดีกว่า

"Three lions"
I think it's bad news for the English game)
(we're not creative enough)
(we're not positive enough)
It's coming home, it's coming home, it's coming,
footballs coming home (we'll go on getting bad)
It's coming home, it's coming home, it's coming,
footballs coming home
It's coming home, it's coming home, it's coming,
footballs coming home
It's coming home, it's coming home, it's coming,
footballs coming home
Everyone seems to know the score, they've seen it all before
they just know, they're so sure
that England's gonna, throw it away, gonna blow it away
but i know they can play,
'cus i remember

three lions on a shirt
Jules Remet still gleaming
thirty years of hurt
never stopped me dreaming

so many jokes, so many snears
but all those 'oh so near's
when your down, through the years
but i still see that tackle by Moore
and when Linaker scored, Bobby belting the ball
and nobby dancing

three lions on a shirt
Jules Remet still gleaming
thirty years of hurt
never stopped me dreaming

(England have done it, in the last minute of extra time)
(what a save, what now)
(good old England, England that couldn't play football)
(England have got it in the bag)

I know that was then, but it could be again
It's coming home, it's coming home, it's coming,
footballs coming home
It's coming home, it's coming home, it's coming,
footballs coming home
(England have done it)
It's coming home, it's coming home, it's coming,
footballs coming home
It's coming home, it's coming home, it's coming,
footballs coming home *REPEATED IN BACKGROUND*

three lions on a shirt
Jules Remet still gleaming
thirty years of hurt
never stopped me dreaming

three lions on a shirt
Jules Remet still gleaming
thirty years of hurt
never stopped me dreaming

three lions on a shirt
Jules Remet still gleaming
thirty years of hurt
never stopped me dreaming


คลิปเพลง "Three lions"

รูนีย์มาเจ็บอย่างนี้ แล้วทีมชาติอังกฤษจะเอาอะไรไปยิงเขาล่ะ ...

ก่อนหน้าี้นี้นักเตะตัวหลักก็มีปัญหาอาการบาดเจ็บกันหลายคนทั้งแอชลีย์ โคล,ไมเคิล โอเวน,เดวิด เบคแคม จนมาถึงเวย์น รูนีย์ ที่กำลังเล่นได้เข้าฟักกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดอยู่ซะด้วย ทุกอย่างกำลังจะไปได้ดีอยู่แล้วเชียวแต่ต้องมาเจอกับปัญหาต่างๆนานาที่ถาโถมเข้ามาอีก เห้อ...น่าหนักใจแทน

เมื่อสมัยเรียน ได้เรียนวิชานึงแต่ลงไปสองรอบ .. คือวิชา Introduction to Business จะว่าไปเรียนวิชานี้ก็สนุกดีอยู่หรอก แต่ว่าที่ต้องมาลง 2 ครั้งก็เพราะว่าไอ้ครั้งแรกดันโดดเรียนเยอะไปจนหมดสิทธิ์สอบ แต่ก็มาผ่านเอารอบที่ 2 เพราะไปลงเรียนติวเตอร์ ไม่งั้นอาจจะม่องเท่งอีกรอบก็เป็นไปได้

จากวันนั้นจนถึงวันนี้ เวลาก็ผ่านมาหลายปีแล้ว เลยมาทบทวนความรู้เรื่อง SWOT ที่อยู่ในวิชานี้ซะหน่อย เพราะู้รู้สึกเสียดายค่าหน่วยกิจและค่าติวเตอร์ซะเหลือเกิน กลัวจะเสียไปไม่คุ้มค่า ก็เลยลองเอามาทบทวนความรู้ซะหน่อย

The Three Lions SWOT Analysis

Strengths (จุดแข็ง)

มีลีคภายในที่แข็งแกร่ง
มีนักเตะฝีมือดีมากหน้าหลายตาจากทั่วโลกเล่นอยู่ในพรีเมียร์ และทำให้นักเตะอังกฤษได้เล่นกับนักเตะต่างชาติเก่งๆหลายคน ย่อมเป็นการพัฒนาตัวเองไปในตัวอยู่แล้ว แถมทีมจากอังกฤษก็ทำผลงานได้ดีในระดับนานาชาติอีกด้วย ซึ่งนักเตะแกนหลักในสโมสรส่วนใหญ่จะเป็นตัวสำคัญของทีมชาติทั้งนั้น ดังนั้นประสบการณ์เหล่านั้นจะช่วยได้ดีทีเดียว

มีเงินสนับสนุนมหาศาล
ปัญหาเรื่องการเงินเป็นเรื่องสุดสุดท้ายที่จะพูดถึงสำหรับประเทศอังกฤษจริงๆ ทั้งที่พัก อาหารการกิน การเดินทาง การรักษาความปลอดภัย หรือแม้แต่เงินอัดฉีดให้กับผลงานของนักเตะ ทุกอย่างล้วนเป็นระดับ First Class ทั้งสิ้น

มีโค้ชและทีมงานชั้นยอด
คงไม่มีใครสงสัยในฝีมือของฟาบิโอ คาเปลโลแน่นอน และด้วยผลงานในรอบคัดเลือกคงเป็นตัวอย่างที่ดีในการบอกสรรพคุณของเขา ชนะ 8 แพ้ 1 ยิงได้ 36 เสียเพียง 6 ประตูเท่านั้นเอง

Weaknesses (จุดอ่อน)

สภาพร่างกายและจิตใจ
เดวิด เจมส์
ผุ้ที่ถูกคาดว่าจะได้รับหน้าที่ตำแหน่งผู้รักษาประตูมือ 1 ต้องสูญเสียความมั่นใจไปมากโขเพราะย้ายมาอยู่กับปอร์ทสมัธนี้แหละ ในแต่ละนัดโดนยิงเละเป็นโจ๊ก เสียฟอร์มสำหรับผู้รักษาประตูที่มีสถิติ Clean Sheet มากที่สุดในพรีเมียร์ลีค 142 นัด ในขณะที่มืออันดับรองลงมาอย่างกรีน,ฮาร์ทหรือฟอสเตอร์ ก็ไม่ได้จะต่างกันซะเท่าไหร่ โดยเฉพาะฟอสเตอร์ยังไม่มีแม้แต่ตำแหน่งตัวจริงในสโมสรเลย

โอเว่น ฮาร์กรีฟ
เจ็บยาวจนลืมไปแล้วว่ามีนักเตะชื่อนี้อยู่ด้วย ความสำคัญของฮาร์กรีฟคือ จะเป็นตัวแทนชั้นดีของเจอร์ราร์ดและแลมพาร์ดได้ดี ซึ่งจะเป็นตัวที่ทำให้คาเปลโล่มีทางเลือกเพิ่มขึ้นในการวางแผนหรือแก้เกมส์ในแต่ละนัดด้วย

ไมเคิล โอเว่น
ถึงแม้ไม่เจ็บ ก็อาจจะไม่ได้ไปเล่นอยู่ดี เพียงแต่ถ้ายังสมบูรณ์อยู่ อาจจะเป็นตัวสอดแทรกขึ้นมาก็ได้ เพราะได้ลงเล่นให้กับยูไนเต็ดมากขึ้นเนื่องจากเวย์น รูนีย์ก็เพิ่งบาดเจ็บมานี่เอง และประสบการณ์ของโอเวนยังพอจะมีประโยชน์ต่อทีมชาติอังกฤษอยู่ไม่มากก็น้อยทีเดียว

แอชลี่ย์ โคล
อาการบาดเจ็บกายอาจจะส่งผลให้กับการเรียกความฟิตให้ทันลงเล่น เพราะถึงแม้จะหายเจ็บทันก็อาจมีปัญหาในการเรียกความฟิตได้ แต่อาการบาดเจ็บที่สภาพจิตใจจากการแยกทางกับเชอร์รีลก็น่าจะส่งผลกับการเล่นไม่น้อยเช่นกัน

เวย์น บริดจ์
ถูกความหวังที่จะมาเป็นตัวตายตัวแทนของแอชลีย์ โคลในตำแหน่งแบ็กซ็าย ก็ประกาศหันหลังให้กลับทีมชาติ เนื่องจากถูกแทงข้างหลังจากเพื่อนร่วมทีมชาติ จนถึงขนาดหน้ายังไม่อยากมอง มือยังไม่อยากสัมผัสกันเลยทีเดียว

จอห์น เทอร์รี่
ด้วยสภาพร่างกายที่ต้องเป็นแกนหลักให้กับทีมชาติและสโมสรของตัวเองที่ถ้าไม่เจ็บก็ต้องลงเล่น นั่นหมายความว่าแต่ละฤดูกาลต้องลงเล่นไม่ต่ำกว่า 50 นัด มันส่งผลกับสภาพร่างกายแน่นอน รวมทั้งสภาพจิตใจกับเรื่องราวที่ตัวเองก่อเรื่องไว้จนถูกปลดออกจากตำแหน่งกัปตันทีมชาติอีก นับว่าส่งผลกระทบไม่น้อยทีเดียว

ริโอ เฟอร์ดินานด์
กัปตันทีมคนปัจจุบัน มีปัญอาการบาดเจ็บมาตั้งแต่มกราคมปีที่แล้ว จนถึงบัดนี้ลงเล่นให้ยูไนเต็ดไปเพียง 17-18 นัดในพรีเมียร์ลีคเท่านั้นเองและที่สำคัญ ฟอร์มการเล่นในแต่ละนัดไม่เหมือนเฟอร์ดินานด์คนก่อนหน้าที่จะมีอาการบาดเจ็บอีกด้วย

เดวิด เบคแคม
ผู้ที่จะมาเป็นแรงจูงใจและแรงบันดาลใจชั้นเยี่ยมให้กับน้องๆในทีมชาติ ดวงกลับแตกซะก่อน หมดสิทธิ์ทำสถิติเล่นฟุตบอลโลกเป็นครั้งที่ 4 แน่นอน นอกจากจะมีหมอเทวดาลงมาจุติหรือใครสักคนหาสถานที่ที่มีรกม้าอีกสักที่หนึ่ง

เวย์น รูนี่ย์
นักเตะพิการคนล่าสุดของทีมชาติอังกฤษ ซึ่งถือว่าเป็นตัวความหวังสูงสุดของทีมชาติในขณะนี้ มีอาการบาดเจ็บข้อเท้าพลิกในนัดออกไปแพ้บาเยิร์น มิวนิค 2-1 ในฟุตบอล UCL แต่ก็คลาดว่าจะหายทัน เพียงแต่ว่ามาบาดเจ็บในตอนที่ฟอร์มกำลังดีแบบสุดยอด ไม่รู้ว่าพอหายเจ็บกลับมาแล้วจะมีฟอร์มการเล่นเป็นอย่างไร

Opportunities (โอกาส)

ด้านกองเชียร์
เนื่องจากสภาพความคล่องทางการเงินของประชากรของประเทศอังกฤษ มีความสามารถในการจับจ่ายสูง เขาสามารถเดินทางไปเชียร์ทีมชาติได้เต็มสนามทุกครั้ง และด้วยความมุ่งมั่นและความศรัทธาในเกมฟุตบอลของเขาแล้วรับรองได้ว่าทุกครั้งที่มีการแข่งขันของทีมชาติ แฟนบอลจะส่งเสียงเชียร์กันลั่นสนามกลบเสียงเชียร์ของแฟนบอลฝั่งตรงข้ามได้อย่างแน่นอน และถ้ากรรมการเกิดขวัญกระเจิงขึ้นมา อาจจะทำให้เกิดผู้เล่นคนที่ 12 ขึ้นได้

Threats (อุปสรรค)

ด้านความปลอดภัย
ทีมชาติอังกฤษเป็นที่สนใจของคนทั้งหลายบนโลกนี้ การที่ฟุตบอลโลกครั้งนี้เล่นกันในทวีปที่มีการก่อการร้ายมากที่สุดในโลก ทีมชาติอังกฤษจึงเป็นเป้าของการก่อการร้ายจากผู้ก่อการร้ายสากลต่างๆ ดังนั้นความเป็นส่วนตัว การใช้ชีวิตนอกสนาม อาหารการกิน หรือความรู้สึกปลอดภัยของทั้งตัวเองและคนในครอบครัวที่ติดตามไปด้วย ย่อมส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อสมาธิมากกว่านักเตะจากชาติอื่นๆแน่นอน แม้ขนาดที่พักอาศัยยังต้องแน่นหนาและถูกออกแบบอย่างเข้มงวด รวมทั้งสนามซ้อมที่แม้แต่มดสักตัวยังไม่สามารถที่จะเดินผ่านไปได้เลย


เมื่อพิจารณาจาก SWOT เหล่านี้แล้ว ถ้าอังกฤษสามารถเข้าไปถึงรอบรองชนะเลิศได้ก็เก่งเต็มทีแล้ว เรื่องที่จะหวังเข้าไปชิงชนะเลิศ เชื่อว่าเป็นไปไม่ได้ .. ถ้าไม่มีปาฎิหารย์จากธีโอ วัลคอตต์ !!

ระหว่างรอดูบอลคู่เชลซีกับอินเตอร์ มิลาน เลยนั่งทำ Avatar ไว้เล่นๆ 1 อัน โดยทำเป็นธงชาติอังกฤษ ซึ่งก่อนเขียนบทความนี้ก็ไม่ได้มีอะไรอยู่ในหัวเลย ว่าไปแล้วก็มาพูดถึงเรื่องธงชาติอังกฤษกันดีกว่า...ว่ามันมีที่มาที่ไปอย่างไร?

หลายๆคนคงสงสัยว่าทำไมธงชาติอังกฤษถึงมีใช้กันถึง 2 แบบ แบบแรกจะเป็นลักษณะธงพื้นสีน้ำเงิน ซ้อนทับด้วยกากบาทมุมฉากและกากบาทแยงสีแดงขอบขาว ซึ่งก็เหมือนกับรูปที่โชว์อยู่ด้านบนนี้เอง ซึ่งมีชื่อเรียกว่าธงสหภาพ (Union Flag หรือ Union Jack)

โดยปกติเรามักจะเห็นธงยูเนียนแจ็ก (Union Jack) มากกว่าและตามประวัติศาสตร์ธงนี้เคยมีใช้ตลอดมาในจักรวรรดิของอังกฤษในยุคก่อน และใช้บ่งบอกสถานะอย่างเป็นทางการหรือกึ่งทางการของดินแดนที่เป็นอาณานิคม ของอังกฤษหลายแห่ง ซึ่งมีกำเนิดจากพระราชบัญญัติสหภาพไอร์แลนด์และบริเตนใหญ่ในปี ค.ศ. 1801 หรือ Act of Union 1800

ธงยูเนี่ยนแจ๊ก

ในส่วนของเครื่องหมายรูปกางเขนแห่งเซนต์จอร์จสีแดงขอบสีขาว ซ้อนทับบนกากบาทแห่งเซนต์แพทริคสีแดง และกากบาทแห่งเซนต์แอนดรูว์สีขาวตามแนวทแยงมุม กางเขนและกากบาททั้งสามนี้ จะเป็นเครื่องหมายประจำตัวของนักบุญประจำประเทศที่อยู่ในสหราชอาณาจักร 3 ประเทศ คือ อังกฤษ ไอร์แลนด์ และสก็อตแลนด์

ธงเซนต์จอร์จ

ส่วนธงอีกแบบนึงนั้น จะเป็นเครื่องหมายของประเทศอังกฤษอย่างแท้จริง ซึ่งชื่อเรียกก็คือธงเซนต์จอร์จ (St. George)โดยลักษณะจะเป็นกากบาทสีแดงเหมือนกับที่เราเห็นบ่อยๆของเครื่องหมายกาชาดหรือเครื่องหมายเรดครอส (Red Cross) นั่นเอง โดยเครื่องหมายนี้จะใช้กันมาตั้งแต่ช่วงยึคกลางของประเทศโดยได้รับสถาปนาให้เป็นธงประจำชาติอังกฤษเมื่อค.ศ.ที่16 โดยทาง WIKI pedia เว็บไซต์ชื่อดังได้เขียนถึงประวัติศาสตร์ของธงเซนต์จอร์จไว้ดังนี้

" เมื่อครั้งราชอาณาจักรอังกฤษรวมกับราชอาณาจักรสกอตแลนด์ภายใต้พระเจ้าเจมส์ที่ 1 แห่งอังกฤษ (หรือเจมส์ที่ 6 แห่งสกอตแลนด์) ธงเซนต์จอร์จก็ได้รวมกับธงเซนต์แอนดรูว์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของสกอตแลนด์ และเกิดเป็นธงสหภาพหรือยูเนียนแจ็ครุ่นดั้งเดิม ซึ่งธงนี้ต่อมาก็เป็นธงชาติของสหราชอาณาจักร และรวมกับธงเซนต์แพทริกของไอร์แลนด์ ซึ่งเป็นยูเนียนแจ็กรุ่นปัจจุบัน "

ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วชอบธงเซนต์จอร์จมากกว่าธงยูเนี่ยนแจ๊ก เนื่องจากใช้สีน้อยและดูมีความคลาสิคมากกว่า แต่ธงยูเนี่ยนแจ๊คก็สวยไปอีกแบบนึง และเนื่องจากว่าสีทั้ง 3 ที่ใช้นั้นจะเหมือนกับสีของธงไตรรงค์ของไทยของเราเลย เพียงแต่ลายและก็ความหมายที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งจะว่าไปแล้วทางประเทศอังกฤษนั้นก็จะมีส่วนคล้ายเราอยู่หลายอย่างเหมือนกัน แม้แต่ระบอบการปกครองก็ยังเหมือนกัน คือมีพระมหากษัตริย์หรือพระราชนีทรงเป็นพระประมุขของประเทศ

V-Sign เกือบทำพิษ ...


เป็นที่ฮือฮาอีกแล้วสำหรับนักเตะอังกฤษ กองกลางกัปตันทีมลิเวอร์พลูและรองกัปตันทีมชาติอังกฤษ "สตีเฟ่น เจอร์ราร์ด" หลังจากถูกจับภาพได้ว่าชูสัญลักษณ์ V-Sign ซึ่งหมายถึงอวัยวะเพศหญิง ให้กับกรรมการ อังเดร มาร์ริเนอร์ ในเกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ในเกมที่แพ้ต่อวีแกน แอธเลติก 0:1 จากจังหวะต่อเนื่องที่ไปเสียบเจมส์ แม็คคาร์ธี ผู้เล่นทีมวีแกนทางด้านหลังจนรับใบเหลือง แต่เนื่องจากว่าไม่มีการบึนทึกจากรายงานของกรรมการ ทำให้ทางสมาคมฟุตบอลอังกฤษยกประโยชน์ให้จำเลยไป

อะไรคือ V-Sign ? เครื่องหมาย V-Sign แรกเริ่มมาจากในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งจะเป็นของทางอเมริกาใช้แสดงถึงว่า " Victory" หรือหมายถึงชัยชนะ และอีกอย่างก็คือ "Peach" หรือความสงบสุขนั่นเอง

แต่ในตอนหลังเริ่มมาแผ่ขยายในอังกฤษ และก็เข้าใจในความหมายเดียวกันคือ "ชัยชนะและความสงบสุข" แต่ในบางส่วนกลับไปให้ความหมายว่า "Fuck off" เพื่อใช้พูดจาแดกดันหรือดูถูกประเทศที่ไม่ได้พูดภาษาอังกฤษนอกเหนือจากจากอเมริกาเหนือ

จังหวะแจก V-Sign ของเจอร์ราร์ด

แต่ถ้าลองมองในลักษณะที่เป็นรูปเป็นร่าง ตัว V ก็คล้ายอวัยวะเพศหญิงนั่นแหละ สอดคล้องกับความหมายของการที่ชูนิ้วกลาง ที่หมายถึงอวัยวะเพศชาย แต่ทางเอเชียตะวันออกเขาจะให้ความหมายไปในทางบวกซะมากกว่า

ผมมีเพื่อนที่เป็นคนอังกฤษกลุ่มนึง ตอนกินเหล้ากันก็มักจะมีอะไรฮาๆมาในวงสนทนาตามภาษาคนขี้เมา ก็มีการทำท่า V-sign นี่เหมือนกัน แต่มันพิเรนกว่านั้น มันเอาลิ้นมาตวัดระหว่างนิ้วทั้ง 2 ซึ่งนั่นก็เหมือนเป็นการทำท่าออรัลเซ็กซ์กันนั่นเอง จะว่าด่าหรือเปล่าก็ไม่น่าจะใช่ซะทีเดียว เหมือนเป็นการล้อเลียนแบบกวนๆซะมากกว่า ซึ่งดูจากท่าทางการทำก็หมายความอย่างนั้นซะด้วย

เรื่องเล่าฮ่าๆ เกี่ยวกับ V-sign
เมื่อสมัยก่อนมีสงครามระหว่างประเทษอังกฤษกับประเทศฝรั่งเศส
พวกฝรั่งเศสได้รับการยอมรับว่าเป็นพวกที่มีนักรบยิงธนูที่แม่นมากๆ แม่นแบบจับวางเลยทีเดียว ซึ่งถือเป็นยอดแห่งนักธนู แต่ก็ถูกพวกทหารอังกฤษจับตัวมาเป็นเชลยได้ จึงนำมาเป็นเชลย แต่ทางพวกทหารอังกฤษไม่ฆ่าทิ้งนะ แต่ได้ทำการตัดนิ้วชี้และนิ้วกลางของทหารฝรั่งเศสพวกนั้นทุกคนทิ้ง จึงทำให้ทหารฝรั่งเศสเหล่านั้นไม่สามารถยิงธนูได้ และปล่อยตัวให้กลับไปที่เมืองของตัวเอง เพื่อให้เกิดความอับอาย ที่ไม่สามารถที่จะทำการรบได้อีกตลอดชีวิต พวกคนอังกฤษทั้งหลายจึงมักจะใช้สัญลักษณ์นี้ ในการเยาะเย้ยและถากถางพวกคนฝรั่งเศสว่าเป็นพวกเหมือนกับว่าเป็นพวกพิการไม่มีน้ำยาที่จะต่อสู้ ทำให้อับอายเป็นอย่างมาก ซึ่งก็ถือว่าเป็นการล้อเลียนที่ตลกโปกฮามากเลยทีเดียว

รอยสักสวยๆของเดวิด เบคแคม

ในวงการฟุตบอล ถ้าจะพูดถึงใครสักคนหนึ่งว่าเป็นเจ้าพ่อแห่งแฟชั่น ชื่อนั้นคงไม่พ้น"เดวิด เบคแคม"อดีตซุปเปอร์สตาร์ทีม"ปีศาจแดง"แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ผู้สร้างให้เขามีชื่อเสียงโด่งดังก้องโลก จนมีผู้คนสนใจมากที่สุดคนนึงทั้งในอดีตและในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแฟชั่นการแต่งกาย หรือแม้แต่ทรงผมของเขาล้วนแล้วแต่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างมาก หลายๆทรงนั้นเด็กๆทั่วโลกมักจะต้องไปหาช่างตัดผมเพื่อบอกให้ตัดทรงเดียวกัน เลยทีเดียว แต่ตอนนี้อยากจะพูดถึงเรื่องรอยสักของเขาก่อน ที่นับตั้งแต่เขามีลูกชายคนแรก เขาก็เริ่มรักและพิศวาสรอยสักขึ้นมาทันที

เบคแคมลืมตามาดูโลกเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 1975 ปัจจุบันเล่นฟุตบอลอยู่กับสโมสรลอสเองเจิลเลส กาแล็กซี่และเป็นนักเตะซุปเปอร์สตาร์ทีมชาติอังกฤษ เบคแคมเป็นนักฟุตบอลที่มีค่าเหนื่อยมาที่สุดในสโมสร (โดยคาดกันว่า ค่าเหนือยต่อสัปดาห์ของเขามากกว่านักเตะทุกคนในทีมรวมกันซะอีก) เบคแค่มเป็นนักฟุตบอลคนแรกที่เล่นในฟุตบอลรายการยูฟ่าแชมป์เปี้ยนลีคจำนวน 100 นัด และที่เจ๋งไปกว่านั้นก็คือเขาเป็นนักกีฬาที่มีค้นหาจาก Google มากที่สุดในโลกในปี 2003และปี 2004 อีกด้วย เขาเป็นทั้งพรีเซ็นเตอร์โฆษณาหลายชนิดซึ่งแต่ละชนิดนั้นมีชื่อเสียงเป็น อย่างมาก เขาได้เป็นกัปตันทีมชาติอังกฤษในวันที่ 15 พฤษจิกายน 2000 จนถึง ฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายปี 2006 และปัจจุบันเขายังเป็นนักเตะที่ติดทีมชาติมากที่สุดในจำนวนนักเตะที่ยังได้ ลงเล่นในปัจจุบันอีกด้วย

เมื่อพูดถึงรอยสักของเขา เขาบอกว่า

"ไอเดียเรื่องรอยสักนี้เกิดขึ้นหลังจากที่บรู๊คลิน(ลูกชายคนแรก)ของเขาเกิด ผมได้พูดคุยกับเมลบี(อดีตสมาชิกวงสไปซ์เกิร์ล เพื่อนของวิคตอเรีย)และจิมมี่ กัลซาร์สามีของเขา และประเด็นเรื่องรอยสักก็เกิดขึ้น ผมก็เลยรีบเดินทางไปหาเพื่อนชาวดัตช์ของผม ผมได้พูดถึงสิ่งที่อยากให้เกิดขึ้นและความหมายของรอยสักนั้นกับเขา ครอบครัวคือทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับผม ภรรยาและลูกของผม และคนที่ผมอยากอยู่ด้วย เมื่อคุณเห็นผม คุณจะเห็นรอยสักนั้น คุณจะเห็นถึงความรู้สึกที่ผมมีต่อวิคตอเรียและลูกๆของผม พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของผม"

รอยสักงามๆ










เวย์น รูนี่ย์กับการร้องเพลงชาติ (International Anthem)

โอ้ ! เจ้าเวย์น รูนี่ย์ของผม... ในโลกนี้คงมีเพียงไม่กี่คนที่ไม่สามารถร้องเพลงชาติของตัวเองได้ และหนึ่งในนั้นคือกองหน้า"ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดและอนาคต"ว่าที่กัปตันทีมชาติอังกฤษ"
พูดไปใครเขาจะเชื่อว่าประเทศที่พัฒนาแล้วจะมีบุคคลกรของประเทศตัวเอง ที่ไม่สามารถร้องเพลงชาติได้ แต่กระนั้นก็เถอะ มันเป็นเรื่องจริง

มาทำความรู้จักกับเพลงชาติอังกฤษกันก่อน

เพลงก็อดเซฟเดอะคิงหรือก็อดเซฟเดอะควีน เป็นเพลงปลุกใจ เพลงชาติ และเพลงสรรเสริญพระบารมีของสหราชอาณาจักร เพลงนี้ใช้เป็นหนึ่งในสองเพลงชาติของนิวซีแลนด์ เป็นเพลงสรรเสริญพระบารมีของประเทศแคนาดา ออสเตรเลีย และประเทศอื่นๆ ในเครือจักรภพอังกฤษ ทั้งยังใช้เป็นเพลงคำนับสำหรับพระราชวงศ์อังกฤษด้วย หากประมุขแห่งรัฐทรงเป็นพระมหากษัตริย์ จะใช้เพลงว่า "ก็อดเซฟเดอะคิง" แต่ถ้าพระราชินีทรงเป็นประมุขก็จะใช้ชื่อเพลงว่า "ก็อดเซฟเดอะควีน"

ในภาษาไทยไม่นิยมแปลชื่อเพลงนี้ออกมาโดยตรง แต่มักเรียกทับศัพท์ว่า "ก็อดเซฟเดอะคิง" หรือ "ก็อดเซฟเดอะควีน" หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "เพลงสรรเสริญพระบารมีอังกฤษ" ตามลักษณะของเพลง

"ก็อดเซฟเดอะควีน" (God Save the Queen) ถือเป็นเพลงชาติของสหราชอาณาจักรและเครือจักรภพ แต่อังกฤษไม่มีเพลงชาติของตนเองโดยเฉพาะ

เนื้อเพลง "God Save The Queen"

God save our gracious Queen,1
Long live our noble Queen,
God save the Queen:
Send her victorious,
Happy and glorious,
Long to reign over us:
God save the Queen.
O Lord, our God, arise,
Scatter her enemies,
And make them fall.
Confound their politics,
Frustrate their knavish tricks,
On Thee our hopes we fix,
God save us all.
Thy choicest gifts in store,
On her be pleased to pour;
Long may she reign:
May she defend our laws,
And ever give us cause
* To sing with heart and voice
God save the Queen.

* ในกรณีที่พระประมุขทรงเป็นพระมหากษัตริย์ จะเปลี่ยนเนื้อร้องสองวรรคสุดท้ายในบทที่ 3 เป็น "With heart and voice to sing, God Save the King"

สกอร์ดนตรีของเพลงก็อดเซฟเดอะควีนในยุคแรก ตีพิมพ์ในนิตยสาร "The Gentleman's Magazine"
ฉบับวันที่ 15 ตุลาคม ค.ศ. 1745 โดยชื่อเพลงตามที่ปรากฏในหน้าสารบัญของหนังสือดังกล่าวคือ
"God save our lord the king: A new song set for two voices"


กลับเข้ามาที่เรื่องของเวย์น รูนีย์กันต่อ ความแตกว่ารูนีย์ไม่สามารถร้องเพลงชาติของตัวเองได้ ก็เนื่องมาจากการที่มีแฟนบอลจำนวนมากมายที่ได้ชมเกมส์การแข่งขัน แล้วสังเกตได้ว่ารูนีย์ไม่เคยแม้แต่ขยับปากร้องเพลงชาติเลย ซึ่งมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? และได้มีกลุ่ม "Royal Society Of St.George" ซึ่งเป็นกลุ่มคนรักชาติได้เคยออกมาตำหนิรูนีย์ว่า

"มันน่าผิดหวังอย่างที่สุดเมื่อคนที่เป็นที่สนใจของประชาชน ไม่แสดงออกถึงความเคารพต่อพระราชินีและประเทศของเขา เขา(รูนีย์)ไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความรักชาติ อย่างที่ผมเคยเห็นจากนักฟุตบอลคนอื่นๆเลย เขาเพียงแต่ยืนเชิดหน้าขึ้นเฉยๆ ซึ่งมันเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีต่อเยาวชนที่คิดว่าเขาเป็นฮีโร่เลย"

"ผมเชื่อว่าเขาอาจจะไม่รู้เนื้อร้องของเพลง และไม่เคยมีใครสอนเขา เขาควรที่จะเรียนรู้การร้องเพลงชาติ นั่นไม่ใช่เพราะเขาเป็นเพียงแค่ตัวแทนของนักฟุตบอลทีมชาติอังกฤษเท่านั้น แต่เพราะมันเป็นหน้าที่ของคนอังกฤษทุกคนที่ต้องสามารถร้องเพลงชาติของเราได้ ผมต้องการให้เขารู้เนื้อร้องของเพลง ก็อด เซฟ เดอะ ควีน ภายในวันเซนต์ จอร์จ และผมก็ยินดีที่จะสอนเขาให้เป็นพิเศษ"

นอกจากนั้นยังแสดงความเห็นออกมาอีกว่าประเทศอังกฤษควรมีการเรียนการสอนการร้องเพลงชาติในโรงเรียน

"ที่สหรัฐอเมริกา ในทุกๆ เช้าเด็กนักเรียนจะมายืนเข้าแถวและยกมือทาบที่อกด้านซ้ายพร้อมกับร้องเพลงชาติของพวกเขา ก่อนเข้าเรียนทุกเช้า มันถึงเวลาที่เราควรจะเริ่มทำแบบนั้นบ้างแล้ว"

ในขณะที่โฆษกของสมาคมฟุตบอลอังกฤษ (F.A) ก็ออกมาพูดว่า

"ในการร้องเพลงชาตินั้ มันเป็นสิทธิ์ส่วนตัวของนักเตะแต่ละคนว่าจะเปล่งเสียงออกมาหรือเปล่า และมันขึ้นอยู่กับตัวนักเตะเองว่าจะร้องหรือไม่ และเสริมต่อว่า "เรารู้ว่านักเตะทุกคนอยากเล่นให้ทีมชาติอังกฤษ และมีความภาคภูมิใจอย่างมากในการเล่นให้ทีมชาติ"

ทางด้านจอห์น เมสันประธานกลุ่มแฟนบอลแมนฯยู ก็มองว่าการร้องเพลงชาติได้หรือไม่ได้นั้น ไม่ได้สลักสำคัญเท่ากับผลงานในสนามของรูนีย์เลยแม้แต่น้อย

"มันไม่ยุติธรรมมากที่จะไปตำหนิหรือต่อว่าเขา(รูนีย์)ที่ไม่ร้องเพลงชาติ ถึงแม้ว่าโดยส่วนตัวของผมเองก็อยากเห็นเขาร้อง แต่นั่นมันไม่ได้หมายความว่าเขาไม่รักชาตินี่หน่า หากเขาไม่ร้องเพลง แต่เขาทุ่มเทกับทีมชาติอังกฤษเหมือนที่ทำกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุดที่เขาต้องทำเมื่ออยู่ในสนาม"

และนับจากนี้ก็เหลือเวลาอีกเพลง 3 เดือน ก็จะถึงเวลาของฟุตบอลรายการสำคัญและยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง World Cup 2010 ที่ประเทศแอฟริกาใต้แล้ว ก็ไม่รู้ว่ารูนี่ย์หัดร้องเพลงชาติไปถึงไหนแล้วเหมือนกัน แต่ยังไงก็ยังพอมีเวลาหัดร้องได้อีก ลองมาดูกันว่าก่อนจะถึงฟุตบอลโลก 2010 รูนี่ย์จะสามารถร้องเพลงชาติได้หรือยัง มาสังเกตในนัดต่อๆไป ที่ทีมชาติอังกฤษจะลงเล่นฟุตบอลนัดกระชับมิตรกับทีมชาติเม็กซิโก ในวันที่ 26 พฤษภาคม 2553 ที่เวมบลีย์ และพบกับทีมชาติญี่ปุ่น ในวันที่ 30 พฤษภาคม 2553 ที่เมืองกราซ ประเทศออสเตรีย

"Christmas Truce" พักสงครามมาเตะฟุตบอลในช่วงคริสมาสตร์กันเถอะ

"Christmas Truce" หรือการพักรบในช่วงคริสมาสตร์


เมื่อเดือนก่อน มีคนถามถึงสงครามโลกครั้งที่ 1 (World War I) ที่มีการหยุดทำสงครามชั่วคราวแล้วมาเตะบอลกัน ก็เลยลองไปหาข้อมูลมา อ้อ...มันเป็นเหตุการณ์ "Christmas Truce" นี่เอง

โดยเหตุการณ์การนี้เกินขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1

ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกับคำว่า "Truce" หรือ"การสงบศึกชั่วคราว"ก่อน (ยังมีอีกคำที่น่าสนใจคือ ceasefire ซึ่งหมายความว่าการหยุดยิง)

การสงบศึกชั่วคราวหรือการพักรบในสงครามหรือความขัดแย้งต่างๆที่ใช้กำลัง อาวุธในการตอบโต้กัน โดยการสงบศึกหรือการพักรบชั่วคราวนั้นจำเป็นจะต้องได้รับความเห็นชอบทั้งสองฝ่ายหรือทุกฝ่ายที่เป็นคู่สงครามหรือคู่กรณีกัน จะรบกันสามฝ่าย สีฝ่ายหรือห้าฝ่ายก็ตามจำเป็นจะต้องมีข้อตกลงร่วมกัน โดยสามารถส่งเป็นเอกสารทางการหรือไม่เป็นทางการก็ได้ แต่จะต้องทำให้เป็นที่รับรู้และรับทราบโดยทั่วกัน

กลับมาที่ "Christmas Truce" อีกที เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 ในวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2457( 24/12/1914) โดยเป็นการประกาศพักรบกันชั่วคราว อันประกอบด้วยประเทศฝรั่งเศส ประเทศเยอรมัน และประเทศอังกฤษ สาเหตุในการพักรบชั่วคราวนั้น เกิดจากที่ทั้งสามฝ่ายต้องการฉลองเทศกาลคริสต์มาสอีฟนั่นเอง แต่กระนั้นการประกาศพักรบในครั้งนี้ต้องถือว่าเป็นการประกาศอย่างไม่เป็นทางการ เพราะไม่ได้ทำหนังสือลงนามทั้งสามฝ่าย

แต่เราจะพูดในส่วนของทางเยอรมันและทางอังอังกฤษเท่านั้น โดยเหตุการณ์เริ่มจากการที่ทหารเยอรมันและอังกฤษจำนวนกว่า 100,000 นาย ที่รบกันในทางฝั่งตะวันตก ได้ต้องการเลี้ยงฉลองคริสตร์มาสอีฟ ทางทหารของเยอรมันได้เริ่มเป็นฝ่ายเจรจาหยุดยิงก่อน โดยได้เชื้อเชิญทหารอังกฤษว่า "ตอนนี้ไม่มีนักรบแล้ว ทำไมเราไม่หยุดรบกันซักพักนึงก่อน แล้วเอาเวลาไปฉลองคริสต์มาสกัน" ทางฝั่งทหารอังกฤษยังไม่ค่อยเข้าใจที่ทางทหารฝั่งเยอรมันสื่อสารมาเท่าไหร่ แต่ก็พอเข้าใจสถานการณ์อยู่บ้าง จึ่งตะโกนกลับไปว่า "ถ้าฝั่งคุณหยุดยิง ฝั่งเราก็จะไม่โต้ตอบ" โชคดีที่ทางฝั่งเยอรมัน มีคนพอจะเข้าใจภาษาอังกฤษอบยู่บ้าง เนื่องจากว่าเคยเข้ามาทำงานในอังกฤษมาก่อน เมื่อทั้งสองฝั่งเข้าใจตรงกัน สงครามในช่วงนั้นจึงถูกพักไว้เป็นการชั่วคราว

ซึ่งพื้นที่ในการหยุดรบกันนั้นมีเรียกว่า "No Man's Land" และพื้นที่นั้นเป็นพื้นที่ที่ใช้เลี้ยงฉลองกันทั้งสองฝ่าย โดยมีเหล้ายาปลาปิ้งพร้อมสรรพเลยทีเดียว กล่าวคือ "No Man's Land" จะเป็นพื้นที่ที่ทุกฝ่ายสามารถเข้ามาใช้สอยได้ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนก็ตามทั้งฝรั่งเศส เยอรมัน อังกฤษหรือแม้แต่พวกพันธมิตรต่างๆ และจะไม่มีการสู้รบกันอย่างเด็ดขาดและเป็นข้อตกลงสากลโลก โดยการเตะฟุตบอลในช่วง "Christmas Truce" ก็เกิดขึ้นในเขต "No Man's Land" นี่เอง

และเมื่อพูดถึงเหตุการณ์ที่มีการเล่นฟุตบอลในขณะนั้น ต้องพูดถึงพลทหาร Bertie Felstead สังกัด Royal Welch Fusiliers ผู้เป็นผู้เอื้อนเอ่ยวาทะหนึ่งในการเล่นฟุตบอลครั้งนั้น "มันไม่ใช่การแข่งขัน ในตอนนั้นมันมากกว่าการตบตีและมีปากมีเสียงกัน เรามีคนอีก 50 คนในแต่ละฝั่ง ผมเล่นเพราะว่าผมรักฟุตบอลจริงๆ ผมไม่รู้ว่ามันจะเกิดขึ้นอีกนานเท่าไหร่ อาจจะเพียงแค่ 1 ชั่วโมงครึ่ง "

"เฟลส์สตีด"เสียชีวิตเมื่อ 22 กรกฎาคม 2001 ด้วยวัย 106 ปี ซึ่งเชื่อกันว่าเขาเป็นคนสุดท้ายที่อยู่รอดหลังจากเหตุการณ์พักรบในครั้งนั้น

นับว่าฟุตบอลก็เป็นกีฬาที่นิยมในระดับสากลเป็นอยากมากทีเดียว เนื่องจากการทำสงครามกันในสมัยก่อน ยังมีกระจิตกระใจมาเตะฟุตบอลกันอีก ไอ้แค่ลำพังจะไปฉลองคริสต์มาสก็แทบไม่มีอารมณ์แล้ว และจะว่าไปเหตุการณ์นี้ทางฝั่งทหารเยอรมันดูจะมีบทบาทในการสร้างประวัติศาสตร์ครั้งนี้มากที่สุด


คลิป "Christmas Truce Football Match"

มารู้จักคำว่า "WAGs" กันดีกว่า WAGs คืออะไร ? อะไรคือ WAGs


"WAGs" ย่อมาจากคำว่า Wife And Girlfriend หมายถึงภรรยาและแฟนสาว ส่วน s ตัวท้ายสุดก็ตอบแบบกำปั้นทุบดินเลย มันหมายถึง WAG หลายๆคนไง

คำนี้เริ่มเกิดขึ้นมาและติดหูตั้งแต่ปี 2004 ซึ่งเป็นสำนักหนังสือพิมพ์สำนักหนึ่งได้เรียกขานขึ้น มีไว้ใช้เรียกแทนพวกเหล่าบรรดาภรรยาหรือแฟนสาวของนักฟุตบอลทีมชาติอังกฤษต่างๆ อย่างเช่น วิคตอเรีย เบคแคม ภรรยาของเดวิดเบคแคม , คอลีน แม็คลัฟลิน ภรรยาของเวนย์ รูนี่ย์ ,โทนี่ พูลเล ภรรยาของจอห์น เทอร์รี่ , อีเลน รีฟส์ ภรรยาของแฟรงก์ แลมพาร์ด เป็นต้น

และส่วนคนที่ได้รับความสนใจในประเด็นเรื่อง WAGs หรือเป็นคนแรกที่เรานึกถึงเมื่อพูดถึง WAGs ก็คือ "เจ้วิกกี้" วิคตอเรีย เบคแคม "WAGs ตัวแม่" อดีตสมาชิกวง Spice Girls ที่โด่งดังมากและเขาก็มีฉายาในวงว่า "พอช สไปซ์" แม้ The sun หนังสือสื่อพิมพ์ยักษ์ใหญ่ในอังกฤษก็ยกให้วิคตอเรียเป็นต้นแบบของ WAGs แต่เท่าที่สังเกตุดูสื่อในอังกฤษจะกระแหนะกระแหนในเรื่องของการแต่งตัว สติปัญญาและการวางตัวในสังคมของวิคตอเรียซะมากว่าที่จะชื่นชมออกมาจากความรู้สึกจริงนะ แต่อย่างไรก็ตามนิตยสารหลายๆฉบับในสหรัฐอเมริกากลับยกย่องให้วิคตอเรียเป็นถึง "Queen Of WAGs" เลยทีเดียว

WAGs เหล่านี้จะเป็นที่ถูกจับตามากๆในการแข่งขันฟุตบอลรายการสำคัญๆอย่างฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปหรือฟุตบอลโลก เพราะเนื่องจากชื่อเสียงที่โด่งดังและความเป็นที่นิยมของพวกเขาแล้ว หน้าตาที่สะสวย การแต่งตัวมีรสนิยมหรือสไตล์การเชียร์หลายๆครั้งจะดึงดูดผู้คนมากกว่าแมตย์ สำคัญๆนั้นอีก โดยซีนที่ถือว่าทำให้ WAGs โด่งดังไปทั่วโลกจริงๆจังก็คือช่วงฟุตบอลโลก 2006 ที่ประเทศเยอรมันนีเป็นเจ้าภาพ โดยเขาได้นำเสนอข่าวต่างๆนอกสนามๆของเหล่าบรรดา WAGs ทั้งหลายมาเพิ่มเป็นสีสันของรายการข่าวและนั่นก็เหมือนเป็นการทำให้ผู้คน ทั้งโลกเริ่มมาสนใจกับ WAGs ของเหล่านักเตะทีมชาติอังกฤษเหล่านี้อย่างมากมาย

"เชอรีล โคล"

แต่น่าเสียดายที่ฟุตบอลโลก 2010 หนนี้ เราจะไม่ได้เห็น WAGs ที่ชื่อเชอรีล โคล นักร้องสาววง "เกิร์ลส์ อลาวด์" แล้ว เนื่องจากเขาได้บอกเลิกกับแอชลี่ย์ โคลสามีแข็งทอง นั่นก็หมายความว่าเชอรีลก็ไม่ได้อยู่ในฐานะของ WAGs แล้ว น่าเข้กกระโหลกแอชลี่ย์ โคลแบ็กซ้ายจากสโมสรเชลซีซะจริงๆ ทำกับนักร้องสาวสุดเซ็กซี่คนนี้ได้ ตำแหน่ง “Sexiest Woman” of FHM 100 Sexiest Women Of 2009 จากนิตยสาร FHM ของเชอรีลคงไม่เพียงพอกับเขาซะละมั้ง เลยแอบไปทำเจ้าชู้กับคนอื่น จนเชอรีลรู้เรื่องเข้าและขอเลิกในที่สุด ทำให้เหล่าหนุ่มๆอดเห็นเชอรีลอวดโฉมบนบล็อกที่นั่ง VIP ของนักเตะทีมชาติอังกฤษไปโดยปริยาย ส่วนแอชลีย์ โคลเองก็มีปัญหาบาดเจ็บจนอาจจะพลาดโอกาสได้เล่นฟุตบอลโลก 2010 กับทีมชาติอังกฤษเช่นกัน

ว้าวๆๆ เนื่องจากไปเห็น [World cup 2010 .. The collection] รูปภาพสวยๆจากฝีมือของคุณ Limp_Bizkit จากเว็บ Soccer Suck แฟนบอลเชลซี http://www.soccersuck.com/soccer/viewtopic.php?t=249108

ก็เลยแอบขโมยมาซะเลย ฮ่า..(เรา P.M. ไปขอเขามาแล้ว) ว่าจะเอามาเป็นรูปประกอบในบทวิเคราะห์ของกลุ่ม C ที่มีทีมชาติอังกฤษร่วมอยู่ด้วยซะหน่อย แต่ด้วยความขี้เกียจ วันนี้ยังไม่มีการวิเคราะห์หรอก แต่จะเอารูปใน Collection ของคุณ Limp_Bizkit มาโชว์และเรียกแรงบันดาลใจก่อน เพราะตรงหัวข้อ"น่าสนใจ" เขาเขียนได้น่าสนใจดี และน่าเอามาเป็นประเด็นในการเขียนสักหน่อย

กลุ่ม C : อังกฤษ , สหรัฐอเมริกา , อัลจีเรีย , สโลวีเนีย
พรีเซนเตอร์ : สตีเฟ่น เจอร์ราร์ด , แลนด่อน โดโนแวน , ยาซิด มานซัวรี่ , มิลิโวเย่ โนวาโควิช
น่าสนใจ : แม้เป็นถึงระดับขวัญใจอันดับหนึ่งของแฟนบอลไทย แต่อังกฤษเพิ่งเคยสัมผัสถ้วยฟุตบอลโลกไปหนเดียวเท่านั้น !

"แม้เป็นถึงระดับขวัญใจอันดับหนึ่งของแฟนบอลไทย แต่อังกฤษเพิ่งเคยสัมผัสถ้วยฟุตบอลโลกไปหนเดียวเท่านั้น !"

ประโยคนี้แหละที่่น่าพูดถึงมากๆ อะไรนี่ ! ประเทศของตัวเองน่าจะเป็นประเทศต้นๆของโลก ที่มีแฟนบอลนอกเหนือจากคนชาติตัวเองตามเชียร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแฟนบอลต่างชาติที่ไม่ได้มีโอกาสได้เขาร่วมกับรายการใหญ่ๆ อย่างฟุตบอลโลก หรือรายการใหญ่ๆที่กำหนดให้เฉพาะชาติต่างๆในยุโรป อย่างรายการฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป (แต่ๆ...รายการนี้ คงถูกทีมชาติสเปนแย่งกองเชียร์ต่างชาติไปมากโข เนื่องจากอังกฤษอดเล่นรอบสุดท้าย ฮ่า...) และที่สำคัญ พรีเมียร์ลีคประสบความสำเร็จมากๆในรายการยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งรายการยูฟ่า แชมเปี้ยนลีค

ถึงแม้จะถูกทีมบาเซโลน่า ขี่คอคว้าแชมป์ในปีที่แล้ว(2009)ก็จริง แต่ต้องยอมรับว่า"บาซ่า"ชุดนั้นเคี้ยวลากดินมากๆ แต่ก็ไม่ได้ถึงกับหมายความว่าพรีเมียร์ลีคมาตรฐานจะต่ำต้อยเลย นักเตะทีมชาติอังกฤษที่ได้ลงเล่นในรายการใหญ่ๆอย่างนี้มีมากมาย และหลายๆคนได้เคยลงเล่นในนัดชิง UCL อีกด้วย

ที่พูดถึงก็ทีมเชลซีและทีมแมนเชส เตอร์ ยูไนเต็ดที่ชิงกันเองในปี 2008 นี่แหละ (All-England Champions Leaque Final) เป็นทีมจากอังกฤษและมีนักเตะทีมชาติอังกฤษลงเล่นตั้งมากมาย

ทางฝั่งเชลซีก็มี จอห์น เทอร์รี่ (กัปตันทีมเชลซีและอดีตกัปตันทีมชาติอังกฤษ) , แอชลี่ย์ โคล (แบ็กซ้ายอันดับต้นๆของโลก) , แฟรงค์ แลมป์พาร์ด (กองกลางที่ดีที่สุดอันดับต้นๆในพรีเมียร์ลีค) , โจ โคล (นักเตะที่ฮอตมากๆในปีนั้น)

ส่วนทางฝั่งแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดก็มี ริโอ เฟอร์ดินานด์ (กัปตันทีมชาติอังกฤษคนปัจจุบัน) , เวส บราวน์ (ทีมชาติอังกฤษ) , โอเว่น ฮาร์กรีฟ (ทีมชาติอังกฤษ) , พอล สโคลส์ (อดีตทีมชาติอังกฤษ) , ไมเคิล คาร์ริค (ทีมชาติอังกฤษ) , เวย์น รูนี่ย์ (นักเตะคนสำคัญของทีมชาติอังกฤษในตอนนี้)

ได้เห็นปริมาณนักเตะอังกฤษที่ได้มีส่วนร่วมเล่นในฟุตบอลรายการใหญ่ๆของโลกแล้ว ก็แทบไม่น่าเชื่อเลยว่าทีมชาติอังกฤษจะไม่ค่อยประสบความสำเร็จในระดับนานาชาติเลย

ฟุตบอลโลกปีนี้ก็ไม่รู้จะทำได้ดีแค่ไหน ตอนนี้ทุกอย่างน่าจะพร้อมที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา มีสุดยอดโค้ชอย่างฟาบิโอ คาเปลโล และนักเตะทุกคนกำลังอยู่ในช่วงพีคของช่วงอายุอาชีพนักเตะด้วย ปี 2010 นี้ น่าจะเป็นฟุตบอลโลกครั้งนึงที่ทีมชาติอังกฤษจะสามารถใกล้เคียงกับตำแหน่ง แชมป์โลกที่สุดก็เป็นไปได้ หลังจากที่ฟุตบอลโลก 2 หนล่าสุด จอดแน่นิ่งอยู่ในรอบ 8 ทีมสุดท้ายเท่านั้นเอง และปี 1998 ตกรอบ 16 ทีมสดท้าย แต่ที่เลวร้ายกว่านั้นคือตกรอบคัดเลือกในปี 1994 อดร่วมเล่นในบอลโลกปีนั้น

[World cup 2010 .. The collection] by Limp_Bizkit

Head To Head ทีมชาติอังกฤษกับทีมอันดับ 1-10 ของโลก

Ranking ล่าสุด เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2009


สถิติที่ทีมชาติอังกฤษพบกับทีมอันดับ 1-10 ของโลก









อักษรย่อของชื่อรายการที่พบกัน
BJT - Brazil Jubilee Tournament (Brazil 1964)
USBI - United States Bicentennial Tournament (US 1976)
CDMC - Ciudad de Mexico Cup (Mexico 1985)
A2KT - Azteca 2000 Tournament (Mexico 1985)
ECC - England Challenge Cup (Engaland - 1991)
USC - United States Cup (US - 1993)
UIT - Umbro International Trophy (England - 1995)
TDF - Tournoi de France (France 1997)
KHT - King Hussain II Tournament (Morocco 1998)
FAST - FA Summer Tournament (England 2004)

ทีมชาติอังกฤษเหนือกว่า
สเปน ฮอลแลนด์ โปรตุเกส เยอรมัน ฝรั่งเศส อาร์เจนติน่า โครเอเชีย

ทีมชาติอังกฤษด้อยกว่า
บราซิล อิตาลี

พอดีดูสถิติของทีมชาติอังกฤษกับอาร์เจนติน่าแล้วรู้สึกแปลกใจ
ก็เลยค้นหาสถิติทีมอันดับ 1-10 ของโลกมาด้วยซะเลย
กลับแปลกใจมากกว่าเดิมซะอีก ไม่น่าเชื่อว่าอังกฤษจะมีสถิติที่ด้อยกว่า
ทีมอันดับ 1-10 ของโลก ณ.ปัจจุบันเพียงแค่ 2 ทีม สถิติสวยหรูทีเดียว !
แต่ในบอลโลก สถิติเก่าๆ แทบไม่มีผลเลย

อังกฤษกับสหรัฐอเมริกาในบอลโลกและบนโลก " War cuz World cup "

การจับสลากมาอยู่ในสายร่วมกันของอังกฤษและอเมริกา ต้องประกาศให้ชัดเจนเลยว่า มันเป็นเกมแห่งศักดิ์ศรีเกมหนึ่งเลยทีเดียว เพราะทั้งสองชาตินี้ ไม่ได้ต่างอะไรกับบ้านพี่เมืองน้องกันเลย ตอนแรกผมคิดเล่นๆว่า ถ้าในสายของอังกฤษมี อเมริกา ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์คงจะสนุกพิลึกน่าดู ที่ได้ดูพี่น้องห่ำหั่นกัน

และอีกเรื่องนึงที่อยากให้เกิดขึ้นคือ Group of U.K.(อังกฤษ สก๊อตแลนด์ เวลล์และไอแลนด์เหนือ) ซึ่งในทางทฤษฎีและทางปฎิบัติคงไม่มีโอกาสได้ดูเพื่อนบ้านแนบชิดตีกันเองเช่นกัน เพราะ 3 ทีมหลังทำได้แค่ใกล้เคียงกับการเล่นรอบสุดท้ายเองและถึงเข้ารอบมาได้ก็มีโอกาสน้อยมากทีเดียว ที่จะร่วมเล่นกัน 4 ทีมในสายเดียวกัน

อังกฤษไม่ใช่ยุโรปนะโว้ย ...
แม้ว่าอังกฤษจะเป็นสมาชิกอียูมา 30 กว่าปี แต่คนอังกฤษส่วนใหญ่ก็ไม่คิดว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของทวีป และมีคำที่เรียกประเทศอื่นๆว่า " The Continent " หรือไม่ก็เหมารวมโดยเรียกว่า "Europe" ไปเลย

โดยความที่อังกฤษเป็นเกาะที่โดดเดี่ยวและไม่มีพรหมแดนติดต่อกับประเทศอื่น ความเป็นเอกเทศเลยครอบงำจนทำให้ไม่อยากไปเกี่ยวคบค้าสมมาคมกับคนชาติอื่นๆ หรือกับบางคนอาจจะมี Ego จัดๆ เช่น การที่ไม่ชอบให้เอาค่าเงินปอนด์ของตัวเองไปรวมกับค่าเงินยูโรเลยด้วยซ้ำ เพราะมีความคิดที่ว่า "มันยิ่งกว่าเสียเอกราชทางค่าเงิน" เลยด้วยซ้ำ เออเอากับมันสิ !

อันนี้เป็นรายงานเป็นของ Euro-barometer
" ที่คณะกรรมาธิการแห่งสหภาพยุโรปจัดทำขึ้นเมื่อปี 2003 เพื่อสำรวจความคิดเห็นของประชาชน ในยุโรป 28 ประเทศ พบว่าในบรรดาผู้ที่ถูกสอบถามทั้งหมด ชาวอังกฤษรู้สึกว่าตนมีความเป็นยุโรปอยู่ในตัว น้อยที่สุด (ประมาณ 30% ของคนอังกฤษที่ถูกถามรู้สึก อย่างนั้น) ในขณะที่ลักเซมเบิร์กกลับเป็นชาติที่ประชาชน รู้สึกว่า ตัวเองมีความเป็นยุโรปมากที่สุด (70 กว่าเปอร์เซ็นต์) นอกจากนี้พรรค UKIP (UK Independent Party) ของอังกฤษซึ่งมีนโยบายหลักที่จะเอาอังกฤษออกจากอียูให้ได้ ยังได้รับคะแนนเสียงมาก จนผู้แทนจากพรรคตัวเองได้ที่นั่งของ ส.ส.ประจำอียูเพิ่มจากแค่ 3 คนเมื่อ 5 ปีก่อนเป็นตั้ง 12 คน เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมานี้ นี่แสดงว่าชาวอังกฤษที่อยากตีตัวออกห่างอียูนั้นทวีคูณเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ภายในเวลาแค่ไม่กี่ปี "

คนอังกฤษบางส่วนรู้สึกว่าตัวเองมีความแน่นแฟ้นกับอเมริกามากกว่า เพราะเนื่องจากภาษาและบรรพบุรุษที่ทั้ง 2 ประเทศเกี่ยวข้องกันอย่างลึกซึ้งและใกล้เคียงกันอย่างมากในเรื่องของวัฒนธรรม ก็คือลูกหลานของชาวอังกฤษเองนี่แหละ ที่อพยพย้ายถิ่นไปในดินแดนใหม่ ความสัมพันธ์มันก็ลึกซึ้งเป็นพิเศษ ถ้าจะให้ชัดเจนยิ่งขึ้นก็ลองนึกภาพรวมของความร่วมมือทางการทหารและการเมืองตอนที่อังกฤษร่วมมือกับอเมริกาในการเข้าไปเหยียบถ้าเสือดินแดนแขก " อิรัก " ตอนนั้น อังกฤษเหมือนหูหนวกตาบอดเลย ไม่ฟังเสียงสมาชิกอียูที่รวมหัวกันคัดค้านแต่อย่างใด ลองเอารายการโทรทัศน์ในปัจจุบันของอังกฤษก็ได้ครับ จะเห็นได้ชัดเลยว่า ไม่มีซีรีย์จากประเทศอื่น ภาษาอื่นเลย มีแต่ซีรี่จากทางอเมริกาทั้งนั้นเลย ถ้าเป็นอย่างฝรั่งเศสหรือเยอรมัน จากมีรายการที่หลากหลายภาษาอยู่มากกว่า แต่อัตราส่วนไม่แน่ใจแฮะ เพราะไม่เคยไปเหยียบฝรั่งเศสและเยอรมันซะที

แต่ก็ได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่ง ที่เกี่ยวกับการที่คนอังกฤษบางพวกก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเกี่ยวดองร่วมญาติโกโหติกาอะไรทั้งนั้นกับทางอเมริกา เพราะอาจจะเป็นเรื่องของการรังเกียจพฤติกรรมบางอย่างที่คนอเมริกันจะคล้ายกับคนออสเตรเลีย(ออสเตรเลียก็มีความสัมพันธ์ลึกๆกับอังกฤษเช่นกัน เดี๋ยวรอบต่อไปอังกฤษมีโอกาสเจอกับออสเตรเลีย แล้วผมจะมาเล่าให้ฟังครับ) เช่นทั้ง 2 เชื้อชาตินี้มักจะพูดจา โผงผางเสียงดัง ขัดกับพฤติกรรมที่ได้ขึ้นชื่อว่าผู้ดีของชาวอังกฤษเขานี่แหละ จะว่าไปเคยมีคนบอกว่าคนอังกฤษจะคล้ายกับคนนิวซีแลนด์(ถ้าอังกฤษเจอนิวซีแลนด์ จะมาขยายความอีกเช่นกันครับ ฮา) มากกว่านะ เพราะคนนิวซีแลนด์จะพูดจาได้ละเมียดละไมและเงียบๆซะมากกว่า แต่อันนี้ก็ไม่รู้ว่าจริงแท้แค่ไหน เพราะไอ้เราก็ไม่เคยมีเพื่อนเป็นคนนิวซีแลนด์ซะด้วยสิ (แต่ทำไมในทีมรักบี้ All blacks มันแหกปากโวยวายอย่างนั่นว่ะ)

เมื่อถามหาจุดยืนของความเป็นอังกฤษ
เหมือนว่าคนอังกฤษจะเป็นเชื้อชาติที่น่าอิจฉาเลย รายได้ของแต่ละคนมันโครตๆจะเวอร์มากๆ ดูอย่างพวกนักฟุตบอล อาทิตย์นึงๆรับเงินกันเท่าไหร่ Homeless (คนไร้บ้าน) แต่ละคน เขาแต่งตัวดีกว่าเราอีกด้วย เฮ้อ !! ชีวิต ...เอ้าลืมเลย จะบอกว่าคนอังกฤษเองเหมือนจะมีปมด้อยอยู่เหมือนกัน เหมือนกับต้องเผชิญว่า ตัวเองเป็นใคร ? และอะไรคือความเป็นอังกฤษที่แท้จริง (ศัพย์หรูๆ Indentity crisis) โดยเราจะเรียกพลเมืองหรือประชาชนของอังกฤษว่า ชาวบริติช (British) ไม่ใช่ว่าเรียกว่าชาวอังกฤษ เนื่องจากประเทศอังกฤษเป็นเพียงส่วนหนึ่งของสหราชอาณาจักร( United Kingdom) เท่านั้น ส่วนอีก 3 ชาติ สกอตแลนด์ เวลส์ และไอร์แลนด์เหนือ ซึ่งทั้ง 3 ชาตินี้มักถูกกลืนหายตกไปอยู่ภายใต้ปีกและร่มเงาของอังกฤษไป แต่ถึงแม้สกอตแลนด์จะเป็นส่วนหนึ่ง ของ U.K. แต่ทั้งชาวสกอต ชาวเวลส์ และชาวไอริช ต่างก็ไม่มีวันจะมองตัวเองว่าเป็นชาวอังกฤษเด็ดขาด แม้แต่คำว่า "บริติช" ก็ไม่คิดอยากจะใช้ เป็นยังไงละ ประเทศในกลุ่ม U.K. นี่ ชาตินิยมสุดๆไปเลย

และสิ่งที่น่าจะเรียกได้ว่าเป็นปมด้อยอย่างแท้จริง ก็น่าจะมาจากการที่คนอังกฤษในปัจจุบันมีหลายเชื้อชาติหลายสีผิวมาก ทั้งดำ ทั้งขาว ทั้งเหลือง หรือคนชาวเอเชียที่ไปตั้งถิ่นฐานที่อังกฤษอย่างพวกอินเดีย ปากีสถาน จีน ญี่ปุ่น นี่ก็เยอะมาก ซึ่งคนพวกนี้อาศัยอยู่นอังกฤษมา 10 กว่าปี จึงได้ความชอบธรรมในการเป็นเจ้าของบ้านไม่น้อยไปกว่าชาวอังกฤษแท้ๆซะอีก และนั่นแหละเป็นชนวนให้เกิดการเรียกร้องความเป็นอังกฤษให้กลับคืนมาใหม่ เพราะกลัวว่าวัฒนธรรมและเอกลักษณ์ที่ตัวเองปฎิบัติมาจะสูญหายไปหมด ซึ่งมีหลายคนปักธงชาติอังกฤษ (เรียกว่าธงเซนต์จอร์จ เส้นสีแดง 2 เส้นตัดกันบนพื้นขาว) ไว้ที่หน้าบ้านเพื่อแสดงถึงความภาคภูมิใจในความเป็นอังกฤษของพวกเขาเอง


เรื่องชนชาติของอังกฤษยุคปัจจุบัน ต้องบอกเลยว่าเหนื่อยมาก ที่จะพยายามรักษาเอกลักษณ์เดิมๆเอาไว้ เพราะแค่อาหารการกินในตอนนี้ได้รับอิทธิพลมาจากหลากหลายที่มากๆ เช่นแกงต่างๆก็เอามาจากอินเดีย และที่ตลกกว่านั้นคือ ปลาทอด ฟิชแอนด์ชิปส์ ที่แม้จะไม่ได้มีต้นกำเนิดมาจากอังกฤษ แต่มันกลับกลายเป็นสัญลักษณ์ของอังกฤษไปแล้วนี่สิ

Linda Colley อาจารย์ที่ London School of Economics ให้ข้อคิดที่ดีไว้ว่า
" ชนชาติและวัฒนธรรมนั้นเป็นสิ่งจอมปลอมที่มนุษย์ สร้างขึ้นมาทั้งสิ้น แล้วเราจะไปยึดติดกับมันอยู่ทำไม เพราะจะพลอยทำให้ผู้คนแตกแยกกันเปล่าๆ สู้เรามาพูดเรื่องสิทธิการเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศกันไม่ดีกว่า หรือการให้ความเคารพซึ่งกันและกัน และอยู่ด้วยกันอย่างสันติภาพไม่ว่าจะมาจากชาติไหน สำคัญกว่าการ ยึดติดกับเรื่องชนชาติที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเองตั้งเยอะ "
วู้ๆๆ เจ๋งจริงๆประโยคนี้

เอ้าร่ายมายาวเลย ว่าจะพูดถึงอังกฤษกับสหรัฐอเมริกา
สาเหตุของสงครามประกาศเอกราชของอเมริกา ซึ่งเกิดมาเมื่อ 200 กว่าปีก่อน
(อายุน้อยกว่ากรุงเทพฯมหานครของเราอีกแฮะ)

ซึ่งเราสามารถมองได้ทั้งสองแง่สองง่าม จะมองว่า อังกฤษเป็นพระเอกที่ถูกกล่าวหา หรือจะมองว่าอเมริกาได้รางวัลออสก้า เล่นเองได้เองก็ได้ กับบทบาทลูกสะไภ้ทำอะไรก็ขัดใจแม่ผัว ถูกกฎขี่ทั้งเรื่อง เอ๊ะ ! ตกลงรางวัลออสก้าหรือตุ๊กตาทองนี่ ?

เขาถูกพวกอังกฤษกดขี่ โดยการเพิ่มภาษีแหลกรานบานตะไท
แต่เมื่อมองในช่วงนั้น ผลจากการรีด เอ้ย ขึ้นภาษี ก็เพราะอังกฤษเพิ่งทำสงครามกับฝรั่งเศษมาเอง พูดง่ายๆก็คือ " I need Money กูบ่อจี๊ โว้ย ! " โดยภาษีที่เพิ่มขึ้นนั้น มันเพิ่มมาเพียง 2 % เท่านั้น แต่ถ้าเราขยับก้นอวบๆมาอยู่บนเกาะอังกฤษ มันต้องใช้ 20% เลยนะแยงกี้เพื่อนรัก

และยังมีเรื่องการบอกว่าถูกคนอังกฤษทารุณโหดร้าย อยเช่นเหตุการณ์ การฆ่าล้างหมู่ที่บอสตัน (Boston Massacre) เมื่อปี 1770 โดยทำให้ชาวอเมริกาล้มตายเป็นจำนวนมหาศาลถึง 5 คนด้วยกัน

...5 คน แย้งกี้เรียกว่าฆ่าล้างเผ่าพันธ์ซะแล้ว แล้วทหารอังกฤษเชิร์ตแดงที่ถูกลอบฆ่าไป 80 คน นั่นเขาเรียกว่าการล้างเผ่าพันธุ์มนุษยชาติเลยใช่ไหมนี่ โอ้...ก็ว่ากันไป

มาดูเรื่องการพัฒนาการของอาณานิคมดีบ้าง สงสัยไหมทำไม ? อเมริกาถึงถือกำเนิด ในขณะที่อเมริกาใต้ของสเปนกลับไม่ถือกำเนิด

เรื่องสั้นๆก็คือ หลักการยึดอาณานิคมของอังกฤษกับสเปนจะต่างกันราวฟ้ากับดิน เพื่อความง่ายดายขึ้นนึกถึงหน้าพอลล่า เทย์เลอร์กับตุ๊กกี้ ชะชะช่าไว้ ... เออเว้ย เห็นภาพชัดเจนเลย !!!

คืออังกฤษจะคิดว่าสเปนคือศัตรูคู่อาฆาตตัวฉกาจเลย
ทางสเปนสนใจแต่ขุดทองทองคำและความร่ำรวยของราชวงศ์ แต่อังกฤษเอง ซึงดำเนินการช้ากว่าทางสเปน ก็คิดว่าเมื่อสเปนไปทางใต้แล้ว เราจะตามตูดเขาไปทำไม

ฮูลิแกน เอ้ย! ผู้ดีอย่างเราก็ต้องไปทางเหนือสิ !! อ่า ... เจอแล้ว " ปลาทอด ฟิชแอนด์ชิปส์ " ไม่ใช่... ปลาเป็นๆนี่แหละ
ต้องบอกว่า อังกฤษนี่ดีใจมากๆที่เจอปลา นั่นเพราะชาวอังกฤษในตอนนั้นจะขาดสารอาหาร แล้วที่ๆ เขาไปเจอเนี่ยก็เป็นช่วงที่กระแสน้ำอุ่นกับกระแสน้ำเย็นมาบรรจบกันทำให้มีปลาอยู่มหาศาลเลย

เริ่มเข้ามาใกล้กับการประกาศอิสระภาพแล้ว
ด้วยความหัวใสของคนอังกฤษ หลักการการคุมอนานิคมของอังกฤษเปิดโอกาสให้ทางอาณานิคมของตนเองค้าขายกันเองได้ ในบางครั้งยังรวมถึงการค้าขายกับอาณานิคมของฝรั่งเศสด้วย (แถวๆแคนนาดา) ซึ่งตรงนี้ทำให้พัฒนาการของอาณานิคมสูงตามขึ้นไปด้วย โดยอย่างน้อยที่สุด คนที่ไม่มีโอกาสทางสังคมในยุโรป ก็สามารถมาหาโอกาสจับจองที่ดินและทำมาค้าขายได้

แต่ในขณะที่อาณานิคมของสเปนนั้น ไม่อนุญาตให้ค้าขายกันเอง ถ้าใครอยากจะซื้ออะไรจากอีกอาณานิคมหนึ่ง ก็ต้องข้ามโลกเอา โดยต้องขายให้สเปนแม่ก่อนแล้วค่อยให้อีกคนหนึ่งมาซื้อต่ออีกที อย่างนี้มันก็เลยพัฒนาสู้อังกฤษไม่ได้

เมื่ออเมริกามีการพัฒนาทางด้านทรัพยากรมนุษย์มากขึ้น คนที่หนีมาจากยุโรปก็ไม่ต้องการถูกข่มขี่อีกและนั่นเป็นปัจจัยที่1

ปัจจัยที่ 2 คือ อังกฤษเองได้ทำสงครามกับฝรั่งเศสในอเมริกและบอกว่าอังกฤษชนะ แต่ชัยชนะครั้งนี้ชนะได้โดยการช่วยเหลือของคนอเมริกาบางส่วน ซึ่งก็คือ นาย จอร์จ วอชิงตัน นี่เอง โดยที่ว่าการรบแบบอังกฤษเนี่ย เป็นการรบแบบลูกผู้ชาย พวกเชิร์ตแดงยืนเรียงหน้ากระดาน คนตีกลองคนนึง เดินและยิงตามจังหวะกลอง เพราะ formation อันนี้ใช้ได้ดีกับอินเดียแดงเพราะอินเดียแดงเนี่ยจะกลัว แต่คนฝรั่งเศสคุ้นเคยกันดี รบกันมาร่วม 200กว่าปี เพื่อแย่งแคว้นๆเดียว ก็ทำกันมาแล้วก็รู้ไส้รู้พุงกันหมด แล้วมันก็เลยไม่ได้เรื่อง

ซึ่งจอร์จ วอชิงตันได้ นำเอาแผนกองโจรเข้ามาใช้ แล้วก็ใช้แผนเดียวกันอีก จัดการกับพวกอังกฤษตอนประกาศเอกราช (ซึ่งก็ยังใช้ formation แบบเดิมอยู่)

โดดข้ามมาเลย
ยิ่งมีสเปนซึ่งมีอาณานิคมในแถบนั้นก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นที่เจ้าหน้าที่ของตนแอบค้าขายและส่งยุทธปัจจัยให้ชาวอาณานิคม ที่แสบสันที่สุดคือฝรั่งเศสศัตรูเก่าให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ถึงกับส่งกองทัพบก-ทัพเรือไปช่วยอย่างเป็นกอบเป็นกำ

ร้ายที่สุด...ทหารที่อังกฤษเอามาช่วยรบคือ ทหารเยอรมันฮัสเซน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวเยอรมันในรัฐฮัสเซน ซึ่งอังกฤษไปจ้างมาช่วยปราบกบฎ ซึ่งพวกนี้มีความโหดไม่จำกัดทำการปล้นสดมภ์ เผาทำลายหมู่บ้านทุกแห่งที่เข้ากับฝ่ายปฏิวัติ ซึ่งการกระทำของทหารพวกนี้ทำให้อังกฤษเสียการสนับสนุนจากชาวอาณานิคมที่ภักดีกับอังกฤษ(หรือที่เรียกว่าพวก"รอยัลลิสต์")

เหตุที่อังกฤษถึงแพ้
1. อังกฤษได้ทำการ ลดขนาดกองทัพลง
2. ฝรั่งเศส ซึ่งรอโอกาสแก้แค้นตลอดเวลา ที่แพ้ไปในปี 1863 ได้เพิ่มกำลังให้กับกองทัพตนเอง และทำการช่วยเหลืออเมริกาอย่างเต็มที่
3. สเปน คู่หูคู่อาฆาตของอังกฤษเอง ก็เล็งเห็นโอกาสเหมาะเจาะ พอฝรั่งเศสช่วยอเมริกาแล้วก็เลยช่วยมั่ง

นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้อเมริกาได้รับอิสระภาพมาจนถึงปัจจุบันนี้ และใช้ระบอบการปกครองแบบ ประชาธิไตย โดยมีประธานาธิบดีเป็นผู้นำ
ปธน จอร์จ วอชิงตันคือใครให้ดูในรูปที่อยู่ในเหรียญควอร์เตอร์ (25 เซนต์)หรือแบงค์ดอลลาร์อเมริกัน ดังนั้นรูปของเขาเมื่อนำมารวมกันทั้งหมด มันจะมีมูลค่ามากกว่ารูปของโมนาลิซ่าซะอีก ...

โพสท์ล่าสุด


คอเพลง

  • Beautiful smell,,, It's a time for female - กลับมาอีกครั้งครับ entry นี้มาแบบง่ายๆเพราะเป็นอะไรที่เคยพูดถึงไปแล้ว ใช่แล้วครับผมกลับมาพูดถึง Doku Jeans อีกครั้ง แต่กลับมากับตัวใหม่ที่เป็นของสุภาพสตรี ...
  • Avenged Sevenfold ได้มือกลองคนใหม่แล้ว!!! - ข่าวใหม่ล่ามาแรงครับ... ในที่สุด Avenged Sevenfold ก็ได้ประกาศชื่อของตำแหน่งมือกลองคนใหม่ที่จะมาตีให้วงในการทัวร์แล้ว... คนๆนั้นคือ Arin Ilejay อดีตสม...
  • YouTube: Amsterdam Acoustics - Erlend Øye : Mrs. Cold / Ask (The Smiths) - My Favorite VIDEO!! Erlend Øye นายเจ๋งมากๆ
  • จ๊ะเอ๋.. - เช้าวันหนึ่ง.. ผมเอามือปิดตาแล้วเล่นจ๊ะเอ๋ กับหลาน หลานหัวเราะ ชอบอกชอบใจ ยิ่งเล่น ยิ่งหัวเราะ เช้าวันสอง.. ผมเอามือปิดตาแล้วเล่นจ๊ะเอ๋ กับพี่ พี่หัวเ...